Google Drive คืออะไร?
-เป็น Online Service ประเภท Cloud Technology ที่มีไว้สำหรับให้ผู้ใช้จัดเก็บข้อมูลลงไปในนั้น
สามารถอ่านได้ที่ blog นี้ -- http://www.s50.me/2012/04/it-trend-cloud-technology.html)
-สามารถใช้ได้ฟรี (แต่ต้องมี Gmail Account ก่อน) โดยการใช้ฟรีนั้น จะมีเนื้อที่ให้ใช้ 5GB
แต่ถ้าหากต้องการเนื้อที่เพิ่มเติมมากกว่านั้น
- ก็สามารถทำได้ครับโดยการเสียค่าบริการ เป็นรายเดือน หรือ รายปีไป สนนราคาตอนนี้อยู่ที่
- 25GB ที่ 2.49USD ต่อเดือน (หรือประมาณ 79 บาทต่อเดือน)
- 100GB ที่ 4.99USD ต่อเดือน (หรือประมาณ 158 บาทต่อเดือน)
- 1000GB ที่ 49.99USD ต่อเดือน
- ซึ่งเมื่อเลือก Upgrade แบบจ่ายเงินแล้ว Gmail Inbox ของผู้ใช้จะเพิ่มเนื้อที่เป็น 25GB ด้วยเช่นจาก จากเดิมที่อยู่ประมาณ 7-8GB
-การนำข้อมูลลงไปจัดเก็บใน Google Drive นั้นทำได้หลายวิธีมาก
เข้าผ่าน Web Browser แล้วเข้าไปที่ Gmail.com แล้วกดไปที่ Documents หรือว่า Drive Menu
-เข้าผ่าน Windows Explorer โดยไปที่ Folder ของ Google Drive ซึ่งก่อนจะเข้าด้วยวิธีนี้ได้จำเป็นที่จะต้อง Download โปรแกรม Google Drive ที่ติดตั้งไว้บนเครื่องก่อนครับ รองรับได้ทั้ง Windows และ Mac OSX
ถ้าหากลองดูวิธีการเอาข้อมูลเข้าไปจัดเก็บแล้ว เราจะพบว่า มันทำงานได้ทั้งบน Computer ทั่วไป และ บนมือถือ
สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เราเพิ่งทำไว้บน Computer ได้ หรือในทางกลับกัน โดยที่ Google Drive จะทำหน้าที่ copy files, upload files หรือ sync files ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ให้โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้ ไม่ต้องทำอะไรเองเลย แค่เรียกไฟล์ใน Folder นั้นๆ ออกมา เท่านั้น
อ่านถึงจุดนี้ จะพบว่า มันทำให้ผู้ใช้ทำงานง่ายขึ้นเยอะ ให้ลืมเรื่องการ Upload files หรือ Copy Files เข้า USB Thumb Drive ได้เลย
Google Drive จะช่วยสร้างประโยชน์เพิ่มเติมให้กับผู้ใช้นอกเหนือจากการที่แนะนำไปในตอนต้นนั้นคือ
-ไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่เรานำเข้าไปไว้ใน Google Drive นั้น เราสามารถแชร์ (Share) ให้ผู้ใช้คนอื่น
หากใครที่ใช้ Gmail มาแล้วพอสมควร จะรู้จัก Google Docs ครับ Google Docs คือ Online Documents Collaboration เอาไว้ ทำงานร่วมกันหลายๆ คน สามารถ แก้ไข พิมพ์ เอกสารในนั้นได้พร้อมกันเวลาเดียวกันครับ ซึ่ง Google Docs รองรับการทำงานในรูปแบบ Document (Word Document), Spreadsheet (Excel) หรือ Presentation (PowerPoint)
-ไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่เรานำเข้าไปไว้ใน Google Drive นั้น เราสามารถค้นหาข้อมูลได้เต็มรูปแบบ (Full Text Search) หมายความว่า เราสามารถค้นหา สิ่งที่อยู่ในเนื้อภายในไฟล์นั้นด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งความสามารถทางด้านการ Search นั้น ต้องยกให้ Google เขาอยู่แล้ว ว่าทำได้ดี และ ทำได้เร็วมาก
- อย่างที่บอกไว้ในตอนต้นครับ ไฟล์ที่เพิ่งนำเข้าไปใน Google Drive นั้น ใช้เวลาเร็วมาก และพร้อมที่จะให้ค้นหาแบบ Full Text Search ภายในเนื้อไฟล์ได้ทันทีทันใด (เร็วเกินคาด)
Google Drive นั้นมาเหนือกว่า ผู้ให้บริการรายอื่นๆ จริงๆ โดยเฉพาะในส่วนของการรองรับการทำ Full Text Search ที่สามารถ Search เข้าไปในตัวเอกสารได้ นั่นหมายความว่า ถ้าเราเก็บเอกสารทั้งหมดของเราไว้ใน Google Drive
สำหรับองค์กรธุรกิจ Google Drive นั้นทาง Google จะเปิดบริการนี้ให้กับลูกค้าองค์กรของ Google ด้วยเช่นกัน (Google มีระบบ Email ที่เอาไว้ให้ ลูกค้าองค์กรใช้ด้วยนะครับ ชื่อว่า Google Apps for Business เป็นอีกหนึ่งบริการของ Google ที่จะทำให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มธุรกิจหรือบริษัท นั้น สามารถใช้ Email ของบริษัท โดยมี Features ความสามารถต่างๆ เหมือน Gmail.com ทุกประการ
สำหรับองค์กรธุรกิจ Google Drive นั้นทาง Google จะเปิดบริการนี้ให้กับลูกค้าองค์กรของ Google ด้วยเช่นกัน (Google มีระบบ Email ที่เอาไว้ให้ ลูกค้าองค์กรใช้ด้วยนะครับ ชื่อว่า Google Apps for Business เป็นอีกหนึ่งบริการของ Google ที่จะทำให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มธุรกิจหรือบริษัท นั้น สามารถใช้ Email ของบริษัท โดยมี Features ความสามารถต่างๆ เหมือน Gmail.com ทุกประการ แต่ว่ายังคงใช้ Domain Name เดิม
เท่าที่ตรวจสอบดูตอนนี้ บริการ Google Drive นั้นอยู่ในขั้นเกือบเต็ม 100% ที่จะเปิดให้ลูกค้าองค์กรใช้ได้แล้วครับ ดูจากภาพด้านล่างนี้Google Drive สำหรับองค์กรนั้น IT Administrator ขององค์กรนั้นๆ สามารถควบคุมเรื่องการ จัดซื้อ Storage เพิ่มเติมให้กับผู้ใช้ในองค์กรได้ครับ โดยอัตราราคาก็จะเป็นไปตามภาพข้างล่างนี้
- IT Administrator สามารถเลือกซื้อเป็น Storage License แต่ละขนาดได้ และนำ License เหล่านี้ ไป Assign ให้กับ Users แต่ละคน หรือ Team Organization ในแต่ละทีมได้
- โดยการ Billing นั้นก็จะมาเก็บเงินที่องค์กรธุรกิจ จะไม่ได้เก็บเงินที่ผู้ใช้แต่ละคน (จะแตกต่างกับ Google Drive for Gmail User)
รูปแบบที่ 1 (Software as a Service, SaaS): จากรูปด้านล่างผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่นและข้อมูลองค์กรได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยผู้ใช้สามารถเรียกใช้ Business Software บน Cloud Technologyได้ทันทีเช่น ใช้ Email Application, ระบบ File Sharing/Content Management, ระบบ CRM Application สำหรับSales และ Customer Support เป็นต้น
รูปแบบที่ 2 (Infrastructure as a Service, IaaS): สะดวก ยืดหยุ่น และ ง่ายต่อการบริหารทรัพยากร IT ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ Virtual Server/ Virtual Machine บน Cloud Technology ได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเครื่อง Server ที่มี 4 CPUs, 32GB Memory, 10TB Storage สามารถเรียกขึ้นมาใช้ได้ทันทีรูปแบบที่ 3 (Platform as a Service, PaaS): เป็นรูปแบบที่กำลังจะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ของเพื่อให้ นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถพัฒนา
แอพพลิเคชั่น
ที่อาศัยคุณสมบัติข้อดีของCloud ได้อย่างดีเยี่ยม รูปแบบนี้ อาจจะอธิบายได้ยากและซับซ้อนมากขึ้นกว่า 2 รูปแบบแรก ซึ่งผู้ใช้ Cloud ในรูปแบบนี้จะเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) ที่ต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานบน
จากรูปแบบการใช้ Cloud Technology ในแบบที่ 1 (SaaS) และ แบบที่ 2 (IaaS) จะพบว่า ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ได้ทั้ง Business Software และ/หรือ Virtual Servers และ/หรือ Virtual Desktop จาก Cloud ได้ทันทีทันใด ไม่ต้องรอขั้นตอนหรือกระบวนการต่างๆที่จะใช้ระยะเวลายาวนานเหมือนสมัยก่อนในอดีตก่อนหน้าที่จะมี Cloud Technology ที่จะต้องทำการ จัดซื้อ/จัดจ้าง อุปกรณ์ Hardware, Software ต่างๆ ใช้ระยะเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ถึงจะสามารถใช้งานได้ นี่คือข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของความรวดเร็วในการได้ Information Technology (IT) มาใช้งาน ซึ่งจุดเด่นของรูปแบบการใช้ Cloud Technology ในลักษณะนี้นี่เองที่จะทำให้ธุรกิจสามารถขยับขยาย หรือ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว ยืดหยุ่น รวดเร็วมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมี Cloud Technology อื่นๆ อีกมากมาย ที่ให้บริการ Business Applicationทำนองนี้ เช่น Salesforce.com หรือ Amazon Web Services หรือ ที่อื่นๆ ซึ่งจุดประสงค์ของ Cloud Technology ถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจ ลดการเสียเวลาหรือเสียค่าใช้จ่ายที่จะต้องบริหารจัดการ IT Infrastructure ด้วยตนเอง ให้ไปเน้นการทำธุรกิจขององค์กรแทนที่จะเน้นการบริหารจัดการ IT Infrastructure ในองค์กร ซึ่งมีต้นทุนในการบริหารจัดการสูงกว่าการ Outsourcing ไปใช้บริการ Public Cloud Service อย่างแน่นอน
- Google ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้ให้บริการ จะทำการจัดการเทคโนโลยีเบื้องหลังทั้งหมดให้แก่องค์กรธุรกิจ โดยจะมีการทำการสำรองข้อมูลกระจายไปยัง Google Datacenter ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเพิ่มService Level ให้ครอบคลุมและให้มี Service Uptime มากสุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 7 วัน ซึ่งถ้าหากองค์กรธุรกิจที่ต้องการลงทุน IT Infrastructure เองเพื่อให้ได้ความสามารถเทียบเคียงกับ Google Apps นั้น จำเป็นต้องลงทุน (Upfront Investment) ในหลายๆ เรื่อง ที่เป็น Infrastructure หลัก เช่น Server, Storage, Email Software License, Anti-Virus/Anti-Spam Software, Mobile Servers, File Servers , Operating System License , Clustering Software License และ อื่นๆ อีกมากมาย ยังไม่รวมถึงการทำ Disaster Recovery ที่จำเป็นต้องมี Datacenter สำรอง นอกสถานที่ เพื่อปกป้องข้อมูลของระบบ Email อีกด้วย สุดท้ายถ้าหากมีจำนวนผู้ใช้มากขึ้น Server Hardwareต่างๆ จะต้องมีการ Upgrade เปลี่ยนเครื่อง ก็จัดเป็น Upfront Investment อย่างเป็นลูกโซ่ไม่รู้จบ ถ้าเทียบกับการลงทุนกับ Google Apps เพียงคิดค่าบริการเป็นรายปีต่อผู้ใช้ เหมาจ่าย ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง เป็นต้น